หน่วยที่ 7

หน่วยที่ 7 อินเทอร์เน็ต



1. แหล่งข้อมูลการสืบค้นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
                 หลักการค้นหาข้อมูลความรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศบนอินเทอร์เน็ตควรดำเนินการดังนี้ กำหนดวัตถุประสงค์การสืบค้น ผู้สืบค้นหรือผู้วิจัยที่จะนำข้อมูล สารสนเทศไปใช้ ควรตั้งวัตถุประสงค์การสืบค้นที่ชัดเจน ทำให้สามารถกำหนดขอบเขตของแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่จะสืบค้นให้แคบลง กำหนดประเภทของเครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า search engine ให้เหมาะสม กำหนดช่วงเวลาที่ข้อมูลสารสนเทศถูกสร้างขึ้น เช่น ช่วงปีที่ตีพิมพ์ของวารสารอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้เพื่อให้ผลการสืบค้นมีปริมาณไม่มากเกินไป มีความตรง (validity) ตามวัตถุประสงค์ และมีความน่าเชื่อถือ (reliability) มากที่สุดอีกทั้งยังสามารถสืบค้นได้ผลในเวลาอันรวดเร็ว
                 ประเภทของข้อมูลสารสนเทศที่สามารถสืบค้นได้ ข้อมูลสารสนเทศที่ อยู่บนอินเทอร์เน็ตมีมากมายหลายประเภท มีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย คือ มีทั้งที่เป็นข้อความ(text) ภาพวาด (painting) ภาพเขียนหรือภาพลายเส้น (drawing)ภาพไดอะแกรม (diagram) ภาพถ่าย (photograph) เสียง(sound) เสียงสังเคราะห์ เช่น เสียงดนตรี (midi) ภาพยนตร์ (movie) ภาพเคลื่อนไหวอะนิเมชัน (animation) จากเทคโนโลยีการสืบค้นที่มีอยู่ในปัจจุบัน การสืบค้นที่เร็วที่สุด มีประสิทธิภาพที่สุด และแพร่หลายที่สุด คือ การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศประเภทข้อความ สำหรับการสืบค้นข้อมูลที่เป็นภาพ (pattern recognition) และเสียง ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก ใช้เวลานาน และยังไม่มีประสิทธิภาพ จึงยังไม่มีการสืบค้นข้อมูลประเภทอื่นๆ นอกจากประเภทข้อความในการให้บริการการสืบค้นบนอินเทอร์เน็ต
                 การสืบค้นต้องอาศัยอุปกรณ์และความรู้ ก่อนที่ผู้สืบค้นจะสามารถ สืบค้นข้อมูลสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ตได้ ต้องมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ดังต่อไปนี้ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อเข้าอินเทอร์เน็ตซึ่งอาจเป็น modem ในกรณีที่ใช้คู่กับสายโทรศัพท์ หรือแผ่น LAN Card ในกรณีที่ใช้คู่กับระบบเครือข่ายที่ได้รับการติดตั้งไว้แล้ว ซอฟต์แวร์การสื่อสาร (communication software) เช่นdial-up networking ในกรณีใช้ modem หรือมีการติดตั้ง network protocol ที่เหมาะสมกับระบบเครือข่ายที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นติดตั้งอยู่และติดตั้ง network adapter ที่เหมาะสมสำหรับ LAN Card นั้นๆ ต้องสมัครเป็นสมาชิกขององค์การหรือบริษัทผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ต (internet service provider หรือ ISP) เพื่อเป็นช่องทางออกสู่อินเทอร์เน็ต นอกจากอุปกรณ์ ต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานในการใช้งานคอมพิวเตอร์(computer literacy)ความรู้ภาษาอังกฤษเนื่องจากข้อมูลสารสนเทศส่วนใหญ่ในอินเทอร์เน็ตเป็นภาษา อังกฤษ และยังต้องมีการจัดสรรเวลาให้เหมาะสมอีกด้วย
บริการบนอินเทอร์เน็ตที่สามารถใช้ช่วยใน การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศมีมากมายหลายบริการ เช่น บริการเครือข่ายใยแมงมุมโลก หรือ Word-Wide-Web(WWW) บริการค้นหาข้อมูล Gopher บริการการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ค้นหาโปรแกรมใช้งาน archie นอกจากนี้ อาจใช้บริการสอบถามผ่านทาง e-mail หรือ chat กับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอื่นๆ หรือสอบถามผ่าน news group หรือ group/thread discussion ก็ได้ เมื่อค้นได้ แหล่งข้อมูลแล้วอาจ download หรือถ่ายโอนข้อมูลที่สืบค้นได้โดยใช้บริการถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลและโปรแกรม (file transfer protocol หรือ FTP) โดยทั่วไปในปัจจุบัน การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ต นิยมใช้โปรแกรม web browsersเช่น Internet Explorer หรือ Mozilla Firefox แล้วเรียกใช้บริการ www ประกอบกับการใช้ search engine ซึ่งมีอยู่มากมายบนอินเทอร์เน็ตในการสืบค้น เมื่อสืบค้นได้แล้ว โปรแกรม web browsers มักจะมีบริการ download ได้ทันทีโดยไม่ต้องอาศัยโปรแกรมอื่นๆเข้าช่วย

                 เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้น เครื่องมือหรือโปรแกรม สำหรับการสืบค้น (search engine) มีอยู่มากมายและมีให้บริการอยู่ตาม เว็บไซต์ต่างๆ ที่ใช้บริการการสืบค้นข้อมูลโดยเฉพาะ การเลือกใช้นั้นขึ้นกับประเภทของข้อมูล สารสนเทศที่ต้องการสืบค้น search engine ต่างๆ จะให้ข้อมูลที่มีความลึกในแง่มุมหรือศาสตร์ต่างๆ ไม่เท่ากัน ตัวอย่าง search engine ที่นิยมใช้มีทั้งเว็บไซต์ที่เป็นของต่างประเทศ และของไทยเอง ตัวอย่างเว็บไซต์ของต่างประเทศ ได้แก่
                 http://www.yahoo.com
                 http://www.google.com
                 http://www.infoseek.com
                 http://www.ultraseek.com
                 http://www.lycos.com
                 http://www.excite.com
                 http://www.altavista.digital.com
                 http://www.opentext.com
                 http://www.hotbot.com
                 http://www.webcrawler.com
                 http://www.dejanews.com
                 http://www.elnet.net ฯลฯ
สำหรับเว็บไซต์ของไทย ได้แก่
                 http://www.sanook.com
                 http://www.siamguru.com ฯลฯ
การค้นหาข้อมูล
                 1.เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบต่างๆและข้อมูลที่มีอยู่ในเครือข่าย
                                  1.1อินเทอร์เน็ต (Internet) เครือข่ายสาธารณะ
อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เป็นล้านๆเครื่องเชื่อมต่อเข้ากับระบบและยังขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี อินเทอร์เน็ตมีผู้ใช้ทั่วโลกหลายร้อยล้านคน และผู้ใช้เหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้อย่างอิสระ โดยที่ระยะทางและเวลาไม่เป็นอุปสรรค นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถเข้าดูข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกตีพิมพ์ในอินเทอร์เน็ตได้ อินเทอร์เน็ตเชื่อมแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจ มหาวิทยาลัย หน่วยงานของรัฐบาล หรือแม้กระทั่งแหล่งข้อมูลบุคคล องค์กรธุรกิจหลายองค์กรได้ใช้อินเทอร์เน็ตช่วยในการทำการค้า เช่น การติดต่อซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตหรืออีคอมเมิร์ช (E-Commerce) ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งสำหรับการทำธุรกิจที่กำลังเป็นที่นิยม เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูกกว่าและมีฐานลูกค้าที่ใหญ่มาก ส่วนข้อเสียของอินเทอร์เน็ตคือ ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างที่แลกเปลี่ยนผ่านอินเทอร์เน็ตได้
อินเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอลที่เรียกว่า “TCP/IP (Transport Connection Protocol/Internet Protocol)” ในการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่าย ซึ่งโปรโตคอลนี้เป็นผลจากโครงการหนึ่งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โครงการนี้มีชื่อว่าARPANET (Advanced Research Projects Agency Network) ในปี ค.ศ.1975 จุดประสงค์ของโครงการนี้เพื่อเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลกัน และภายหลังจึงได้กำหนดให้เป็นโปรโตคอลมาตรฐานในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
                 ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นเครือข่ายสาธารณะ ซึ่งไม่มีผู้ใดหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง การเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตต้องเชื่อมต่อผ่านองค์กรที่เรียกว่า “ISP (Internet Service Provider)” ซึ่งจะทำหน้าที่ให้บริการในการเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต นั่นคือ ข้อมูลทุกอย่างที่ส่งผ่านเครือข่าย ทุกคนสามารถดูได้ นอกเสียจากจะมีการเข้ารหัสลับซึ่งผู้ใช้ต้องทำเอง
                 1.2 อินทราเน็ต (Intranet) หรือเครือข่ายส่วนบุคคล
ตรงกันข้ามกับอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายส่วนบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บ, อีเมล, FTP เป็นต้น อินทราเน็ตใช้โปรโตคอลTCP/IP สำหรับการรับส่งข้อมูลเช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งโปรโตคอลนี้สามารถใช้ได้กับฮาร์ดแวร์หลายประเภท และสายสัญญาณหลายประเภท ฮาร์ดแวร์ที่ใช้สร้างเครือข่ายไม่ใช่ปัจจัยหลักของอินทราเน็ต แต่เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำให้อินทราเน็ตทำงานได้ อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายที่องค์กรสร้างขึ้นสำหรับให้พนักงานขององค์กรใช้เท่านั้น การแชร์ข้อมูลจะอยู่เฉพาะในอินทราเน็ตเท่านั้น หรือถ้ามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับโลกภายนอกหรืออินเทอร์เน็ต องค์กรนั้นสามารถที่จะกำหนดนโยบายได้ ในขณะที่การแชร์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตนั้นยังไม่มีองค์กรใดที่สามารถควบคุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ เมื่อเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต พนักงานบริษัทของบริษัทสามารถติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกเพื่อการค้นหาข้อมูลหรือทำธุรกิจต่าง ๆ การใช้โปรโตคอล TCP/IP ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้เครือข่ายจากที่ห่างไกลได้ (Remote Access) เช่น จากที่บ้าน หรือในเวลาที่ต้องเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ การเชื่อมต่อเข้ากับอินทราเน็ต โดยการใช้โมเด็มและสายโทรศัพท์ ก็เหมือนกับการเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต แต่แตกต่างกันที่เป็นการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายส่วนบุคคลแทนที่จะเป็นเครือข่ายสาธารณะอย่างเช่นอินเทอร์เน็ต การเชื่อมต่อกันได้ระหว่างอินทราเน็ตกับอินเทอร์เน็ตถือเป็นประโยชน์ที่สำคัญอย่างหนึ่งระบบการรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งที่แยกอินทราเน็ตออกจากอินเทอร์เน็ต เครือข่ายอินทราเน็ตขององค์กรจะถูกปกป้องโดยไฟร์วอลล์ (Firewall) ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่กรองข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างอินทราเน็ตและอินเทอร์เน็ตเมื่อทั้งสองระบบมีการเชื่อมต่อกัน ดังนั้นองค์กรสามารถกำหนดนโยบายเพื่อควบคุมการเข้าใช้งานอินทราเน็ตได้
อินทราเน็ตสามารถสนองความต้องการของผู้ใช้ในองค์กรได้หลายอย่าง ความง่ายในการตีพิมพ์บนเว็บทำให้เป็นที่นิยมในการประกาศข่าวสารขององค์กร เช่น ข่าวภายในองค์กร กฎ ระเบียบ และมาตรฐาน การปฏิบัติงานต่าง ๆ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งการเข้าถึงฐานข้อมูลขององค์กรก็ง่ายเช่นกัน ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกันได้ง่าย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
                 1.3 เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) หรือเครือข่ายร่วม
 เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) เป็นเครือข่ายกึ่งอินเทอร์เน็ตกึ่งอินทราเน็ต กล่าวคือ เอ็กส์ทราเน็ตคือเครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างอินทราเน็ตของสององค์กร ดังนั้นจะมีบางส่วนของเครือข่ายที่เป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างสององค์กรหรือบริษัท การสร้างอินทราเน็ตจะไม่จำกัดด้วยเทคโนโลยี แต่จะยากตรงนโยบายที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ทั้งสององค์กรจะต้องตกลงกัน เช่น องค์กรหนึ่งอาจจะอนุญาตให้ผู้ใช้ของอีกองค์กรหนึ่งล็อกอินเข้าระบบอินทราเน็ตของตัวเองหรือไม่ เป็นต้น การสร้างเอ็กส์ทราเน็ตจะเน้นที่ระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูล รวมถึงการติดตั้งไฟร์วอลล์หรือระหว่างอินทราเน็ตและการเข้ารหัสข้อมูลและสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ นโยบายการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและการบังคับใช้
2. การสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต
                 การค้นคว้าด้วยการใช้ Search Engine
การใช้งานงานอินเทอร์เน็ตที่นิยมใช้กันอย่างมาก จะได้แก่การเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อหาความรู้ แต่การเข้าเยี่ยมชมนั้น ในกรณีที่เรารู้ว่าเว็บไซต์เหล่านั้นมีชื่อว่าอะไร เนื้อหาของเว็บ มุ่งเน้นเกี่ยวกับสิ่งใด เราสาสามารถที่จะเข้าเยี่ยมชมได้ทันที่ แต่ในกรณีที่เราไม่ทราบชื่อเว็บเหล่านั้น แต่เรามีความต้องการที่จะค้นหาเนื้อหาบางอย่าง มีวิธีการจะเข้าสืบค้นข้อมูลได้ โดยการใช้ความสามารถของ Search Engine
                 Search Engine จะมีหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผู้ใช้งานเพียงแต่ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำหรือข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องที่กำหนด คลิกปุ่มค้นหา เท่านั้น ข้อมูลอย่างย่อๆ และรายชื่อเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องจะปรากฏให้เราเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ทันที
                 Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการที่จะเข้าไปหาข้อโดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อยเราจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่จะเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป
3. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
                 เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างหนึ่งที่เกิดจากการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ นิยมเรียกสั้นๆ ว่า อีเมล์ มาจากภาษาอังกฤษคำว่า อิเล็กทรอนิกส์เมล์ (E-mail = Electronic Mail) หรือเรียกว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ มีลักษณะการรับและส่งข้อมูลเหมือนกับการติดต่อสื่อสารประเภทจดหมาย คือ มีการพิมพ์ข้อความผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วแปลงเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์แทนการเขียนข้อความลงในกระดาษ แล้วใช้การส่งข้อมูลผ่านทางระบบเครือข่ายจากเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งแทนการส่งจดหมายผ่านทางไปรษณีย์ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ยังสามารถใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในบริษัทหรือสำนักงาน โดยใช้โปรแกรมไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เฉพาะภายในบริษัทหรือสำนักงาน ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือไม่ก็ได้
4. กระดาษข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (Web forum)
                 เป็นการติดต่อสื่อสาร ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่คล้ายกับการเขียนข้อความ ไว้บนกระดาน เพื่อให้กลุ่มคนที่ต้องการจะสื่อสารกันมาอ่านและเขียนโต้ตอบกันได้ แต่กระดานในที่นี้เป็นกระดานอิเล็กทรอนิกส์ ที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้แต่ละราย ปัจจุบันนี้ เว็บไซต์บางแห่งจัดตั้งเป็นเวทีแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ แยกเป็นแต่ละกระดานสำหรับ แต่ละเรื่อง เช่น กรณีเว็บไซต์ www.pantip.com เป็นต้น นอกจากนั้น เว็บไซต์บางแห่งอนุญาตให้มีการจัดตั้ง “ชุมชน” สำหรับกลุ่มคนที่มีความสนใจเรื่องเดียวกัน ใช้สื่อสารกันด้วยจดหมาย เอกสาร รูปภาพ ฯลฯ
5. ห้องสมุด แหล่งข้อมูลความรู้
                 E-library มาจากคำว่า Electronic Library หรือห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง ห้องสมุดที่มีการจัดการระบบงานและเนื้อหาความรู้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์เป็นลักษณะผสมผสานการทำงานของระบบห้องสมุดอัตโนมัติ ห้องสมุดเสมือน และห้องสมุดดิจิตอล
ห้องสมุดอิเลคทรอนิกส์ หมายถึง แหล่งที่รวมความรู้จำนวนมหาศาลที่จัดการระบบงานห้องสมุด โดยเก็บข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) และให้บริการข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งครอบคลุมถึงห้องสมุดดิจิตอล (Digital library) ที่จักการและให้บริการข้อมูลเป็นเอกสารฉบับเต็ม (Full - text) ในรูปแบบดิจิตอลและห้องสมุดเสมือน (Virtual library) ที่รวมข้อมูลจากแหล่งความรู้ทั่วโลกและให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในรูปสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ระบบห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
1. ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ
2. ห้องสมุดดิจิตอล
3. ห้องสมุดเสมือน
                 ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ เป็นระบบการทำงานของห้องสมุดโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย เพื่อให้การทำงานของฝ่ายต่างๆ ในห้องสมุดสามารถทำงานเชื่อมโยงประสานกันได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องทำงานด้วยมือซ้ำหลายๆครั้ง
                 ระบบห้องสมุดดิจิตอล ห้องสมุดดิจิตอล หมายถึง ห้องสมุดที่มีการจัดการและให้บริการเนื้อหาของข้อมูลในรูปแบบดิจิตอลที่ผู้ใช้เข้าถึงเนื้อหาฉบับเต็มได้โดยตรง มีการสร้างหรือจัดหาข้อมูลดิจิตอลมาจัดเก็บอย่างเป็นระบบเพื่อความสะดวกในการสืบค้นและให้บริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ระบบห้องสมุดเสมือน ห้องสมุดเสมือน หมายถึง สถานที่ให้บริการสืบค้นข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้คอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันได้ทั่วโลก ห้องสมุดเสมือนจึงเป็นที่รวมแหล่งสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการจัดการอย่างมีระบบและให้บริการค้นคืนสารสนเทศแบบออนไลน์ในระบบเครือข่าย โดยที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงระยะไกลมายังห้องสมุดเพื่อสืบค้นและใช้สารสนเทศของห้องสมุดหรือเชื่อมโยงกับแหล่งสารสนเทศอื่นได้ทุกที่ในระบบเครือข่าย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
                 ดังนั้นความหมายของคำว่าห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ห้องสมุดดิจิตอลและห้องสมุดเสมือน จึงมีความคล้าคลึงกันในหลายด้าน เช่น การจัดเก็บข้อมูลไว้ในระบบฐานข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) และให้บริการข้อมูลผ่านเครือข่าย แต่มีความแตกต่างในจุดเน้นบางประการ เช่น ห้องสมุดดิจิตอลมีการบริการเนื้อหาข้อมูลโดยตรง ห้องสมุดเสมือนเน้นการเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่งไว้ด้วยกันโดยไม่จำเป็นต้องมีอาคารสถานที่ในการจัดเก็บ เป็นต้น
                 การจัดหมวดหมู่สำหรับห้องสมุดขนาดเล็ก นอกจากการจัดด้วยระบบดิวอี้ ด้วยการแบ่งหมวดหมู่ ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ไปแล้วเรายังมีวิธีที่ง่ายและไม่ต้องวิเคราะห์เนื้อหา ซึ่งจะปรับใช้กับห้องสมุดที่มีผู้ปฏิบัติงานเพียงคนเดียว หรือมีน้อยโดยวิธีการ จัดหมวดหมู่ใหญ่ครั้งเดียว คือ แยกประเภทตามการแบ่งครั้งที่1 โดยอิงหมวดหมู่ของดิวอี้เหมือนเดิม คือ 000 – 900 แต่เราจะไม่ต้องวิเคราะห์ลึกลงไป เอาถึงแค่หมวดใหญ่ แยกเป็น หมวดไว้ คือ
000 ความรู้ทั่วไป
100 ปรัชญา
200 ศาสนา
300 สังคมศาสตร์
400 ภาษาศาสตร์
500 วิทยาศาสตร์
600 เทคโนโลยีหรือวิทยาศาสตร์ประยุกต์
700 ศิลปะและการบันเทิง
800 วรรณคดี
900 ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์
6. แหล่งข้อมูลของประเทศไทยบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์
                 เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นเครือข่ายที่มีคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ที่ติดตั้งอยู่ทั่วโลกเชื่อมโยงกันจำนวนมาก เครื่องแม่ข่ายแต่ละเครื่องมีข้อมูลข่าวสารบางอย่างบางประเภทบรรจุอยู่ เช่น ถ้าเป็นเครื่องแม่ข่ายของบริษัทผลิตรถยนต์ ก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นต่างๆ ของบริษัทนั้นข้อมูลเกี่ยวกับการรับบริการต่างๆ จากบริษัท และอาจมีข้อมูลประเภทความรู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของยานยนต์ เทคโนโลยีใหม่ๆ เกี่ยวกับยานยนต์ มลพิษจากไอเสียของรถยนต์และวิธีบำบัดป้องกัน วิธีการขับรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น หากเป็นเครื่องแม่ข่ายของบริษัทของบริษัทท่องเที่ยว ก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง ข้อมูลเกี่ยวกับการขออนุญาตเข้าประเทศต่างๆ เพื่อการท่องเที่ยว ตลอดจนเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมและภาษา ของประเทศนั้นๆ เป็นต้น ปัจจุบันนี้ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้อยู่ในรูปแบบของเอกสาร ที่มีการเชื่องโยงกันภายใต้มาตรฐาน World Wide Web (หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า http Hypertext Transfer Protocol) เราเรียกแหล่งข้อมูล แต่ละแห่งเหล่านี้ ว่า เป็น เว็บไซต์ (Web Site) ซึ่งแปลว่าแหล่งข้อมูลในระบบ World Wide Web นั่นเอง
ประเทศไทยเราก็ได้มีการจัดตั้งเว็บไซต์ขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งของภาครัฐและของภาคเอกชน ในที่นี้จะได้กล่าวถึงเว็บไซต์ที่คิดว่าจะมีประโยชน์สำหรับนักศึกษา โดยจะแยกกล่าวเป็นแต่ละประเภทของข้อมูลหลักในเว็บไซต์นั้นๆ
                 เว็บไซต์ประเภท Portal หรือ Gateway หรือชุมทาง ที่กล่าวถึงเว็บไซต์ประเภทนี้เป็นประเภทแรก เพราะเป็นประเภทที่มีประโยชน์มาก เวลาที่เราไม่แน่ใจว่าจะหาข้อมูลประเภทที่ต้องการได้จากแหล่งใด หากเราเข้าไปที่เว็บไซต์ประเภทนี้ จะพบว่าในเว็บไซต์ได้ทำจุดเชื่อโยงไปยังเว็บไซต์อื่น โดยจัดแบ่งเป็นประเภทไว้ ทำให้เราสามารถหาแหล่งข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น คล้ายกับการค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ในสมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองนั่นเอง เว็บไซต์ชุมทางที่สำคัญในประเทศไทย คือ http://www.nectec.or.th จัดทำโดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ซึ่งเป็นเว็บไซต์แห่งแรกของประเทศไทย และเป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดทำเว็บไซต์ แม้ว่าในปัจจุบันนี้ เว็บไซต์แห่งนี้จะมีข้อมูลมากเกินไป และการจัดระบบข้อมูลเริ่มจะไม่รองรับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การค้นหายากขึ้น อย่างไรก็ตาม เราก็ยังถือได้ว่า เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ชุมทางสำหรับข้อมูลที่เกี่ยวกับประเทศไทยที่ดี
                 เว็บไซต์ประเภทของการศึกษา เว็บไซต์การศึกษาในประเทศไทย มีจำนวนมากทั้งของสถานบันอุดมศึกษา และของโรงเรียนต่างๆ เว็บไซต์ที่อาจถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ชุมทางประเภทการศึกษา ได้แก่ 1.เว็บไซต์โครงการ SchoolInet@1509(http://www.school.net.th)เป็นเว็บไซต์ชุมทางสำหรับเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นสมาชิกโครงการ SchoolINet และที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา
2.เว็บไซต์ LearnOnline (http://www.learn.in.th) ของสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (Thailand Graduate I nstitute of Science and Technology TGIST) เป็นเว็บไซต์สำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เน้นสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในทุกระดับการศึกษา และมีทำเนียบเชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์อื่น ที่ให้บริการในลักษณะเดียวกัน
เว็บไซต์ประเภทศิลปวัฒนธรรม เว็บไซต์วัฒนธรรมไทย http://www.culture.go.th ของ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จัดว่าเป็นเว็บไซต์หลักในเว็บไซต์ประเภทนี้ นอกจากนี้ ข้อมูล ด้านศิลปวัฒนธรรม มักจะมีปรากฏอยู่บ้างตามเว็บไซต์ของสถานบันอุดมศึกษาต่างๆ และของภาคเอกชนที่เกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยว
                 เว็บไซต์ประเภทท้องถิ่น เว็บไซต์ประเภทนี้กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เว็บไซต์ชุมทางของประเภทนี้ ได้แก่ http://www.thaitambon.com ซึ่งเป็นที่รวบรวมเว็บไซต์ของตำบลต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อสนับสนุนโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์นอกจากนี้จังหวัดใหญ่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็มักจะมีเว็บไซต์ของจังหวัด และสถานบันการศึกษาทั้งระดับอุดมศึกษาและระดับโรงเรียน ก็มักจะบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับท้องถิ่นไว้ในเว็บไซต์ของสถานบันด้วย
เว็บไซต์ประเภทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เว็บไซต์ของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. (http://www.nstda.or.th) เป็นเว็บไซต์หลักสำหรับสารสนเทศ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีการเชื่อมโยง ไปยังเว็บไซต์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น เว็บไซต์ของศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ทั้งสาม ได้แก่ http://www.nectec.or.th http://www.mtec.or.th http://www.biotec.or.th และ เว็บไซต์ของหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เว็บไซต์ประเภทพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e - Commerce) หมายถึง การทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการค้าขายผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ขณะนี้การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก ทั้งการค้าปลีกหรือค้าส่ง การซื้อขายสินค้าหรือบริการ ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ ทำให้ประเทศไทยสามารถค้าขาขายกับต่างประเทศได้ถึงในระดับผู้ค้าปลีก ทั้งนี้เราต้องพยายามเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันทางการค้าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนไทยจะต้องเรียนให้รู้และทำให้เป็น เว็บไซต์http://www.ecommerce.or.th ของศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นับว่าเป็นเว็บไซต์ทางการที่มีหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นับว่าเป็นเว็บไซต์ทางการที่มีหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถหาดูได้จากเว็บไซต์บางแห่งของภาครัฐและภาคเอกชน เช่น http://www.moc .go.th ของกระทรวงพาณิชย์ และ http://www.depthai.go.thของกรมส่งเสริมการส่งออกส่วน http://www.thaitrad epoint.com เป็นอีกเว็บไซต์หนึ่งที่น่าสนใจเพราะมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้มีโอกาสเข้าสู่พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น